Tense

    

             วัตถุปประสงค์เชิงพฤติกรรม
                     1. สามารถเข้าใจในTenseวิเศษณ์อย่างถูกต้อง
                     2. สามารถใช้Tenseได้อย่างถูกต้อง
                     3.  สามารถแยกประเภทของTenseได้



             คือการเปลี่ยนรูปกริยาตามกาลเวลา ในประโยคของภาษาอังกฤษที่ใช้บ่งบอกถึงเหตุการณ์ว่าเกิดอยู่ในช่วงเวลาใดๆ ในอดีต (past) ,ปัจจุบัน (present) ,หรืออนาคต (future) อีกทั้งรูปแบบโครงสร้างประโยคยังบ่งบอกถึงลักษณะและพฤติกรรมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่กันไปอีกด้วย


Present Simple Tense

               คือ tense  ที่ใช้พูดถึงสิ่งที่เป็นความจริง โดยอาจเป็นความจริงนขณะนั้น 

   ประโยคบอกเล่า

               มีรูปประโยค  S + V1
เช่น
            John plays football well.
            The sun rises in the east.
(หากประธานเป็นเอกพจน์ต้องเติม "S" ที่กริยาแต่ถ้าประธานเป็นพหุพจน์ไม่ต้องเติม"S"ที่กริยา)

  ประโยคปฏิเสธ

               มีรูปประโยค  S+do/does+not+V1
เช่น 
            She does not doctor หรือเขียนอีกแบบคือ She doesn't doctor
            They do not student หรือเขียนอีกแบบคือ They don't student 
 ประโยคคำถาม
            - Verb to "Do" อยู่หน้าประโยค
          มีรูปประโยค    Do/Does+S+V1 .?
เช่น  
          Does John play football very well.?
          Do they walk to school everyday .?

                    (หากประธานเป็นเอกพจน์ต้องใช้ "Does" ที่กริยาแต่ถ้าประธานเป็นพหุพจน์ให้ใช้"Do"ที่กริยา)



Present Continuous Tense

             คือ tense ที่ใช้พูดเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะทีู่่พูด

 ประโยคบอกเล่า
           
  มีรูปประโยค  S + Vtobe+Ving
เช่น
        John is sleeping .
        The girls are watching TV .

ประโยคปฏิเสธ

               มีรูปประโยค  S+Vtobe+not+Ving
เช่น 
          John is not sleepnig .  หรือเขียนอีกแบบคือ John isn't sleeping .
          The girls are not watcting TV .  หรือเขียนอีกแบบคือ          The girls aren't watcting TV . 


ประโยคคำถาม
              มีรูปประโยค    Vtobe+S+Ving .?

เช่น       
                  Is John sleeping.?
                  Are The girls watching TV .?



Present Prefect Tense

               คือ tense ที่ใช้พูดถึงเหตุการณ์ทีได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต โดยแบ่งลักษณะของเหตุการณ์ออกเป็น 2 กรณี คือ
                
                 1. เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีตไม่ได้ระบุเวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
เช่น
             Tom has just finished his breakfast .
             we have already cleaned our bedroom.
             

                  2. เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีตและมีผลต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
เช่น
              We have lived for ten years.
               Mary has worked here sine 1989.


Past Simple Tense

            คือ tense ที่ใช้พูดถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อทราบว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไหร่

ประโยคบอกเล่า

               มีรูปประโยค  S + V2
เช่น
               Tony went to the zoo yesterday.
                They walked to school this morning



ประโยคปฏิเสธ

               มีรูปประโยค  S+did+not+V1
เช่น 
            Tom did not go to zoo yesterday. หรือเขียนอีกแบบคือ Tom didn't go to zoo yesterday.
            We did not wash our hair last night. หรือเขียนอีกแบบคือ   We didn't wash our hair last night.

   ประโยคคำถาม
            - Verb to "Do"คือ "Did" อยู่หน้าประโยค
          มีรูปประโยค    Did+S+V1 .?         
เช่น
          Did Tom go to the zoo yesterday .?
          Did they walk to school this morning .?

(ข้อแตกต่างระหว่าง Past Simplec Tenseและ Present Perfect tense คือPast Simplec Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและจบลงแล้ว โดยไม่มีผลต่อมาจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกับ Present Perfect )

Past Continuous Tense

        คือ Tense ที่ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต 
จะใช้ในกรณีต่อไปนี้
       1. เมื่อพูดถึงเหตุการณ์2เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต  จะใช้Past Continuous Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน และใช้ Simple Past Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลัง
เช่น  
          Someone knocked at door while Alice was cooking

(เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและกำลังเดินอยู่มนอดีตคือ "while Alice was cooking"(ในขณะที่ Alic กำลังทำอาหาร)  "  Someone knocked at door"(มีใครบางคนมาเคาะประตู) )




 2.เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตซึ่งผู้พูดทราบช่วงของเวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น  
เช่น
      Jack was watching TV all day yesterday.
      I was writing a letter at 10 o'clock last night.


         3. เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมๆกันนอดีต  
เช่น
         While Joe was writting,Tom was reading


Past Perfect Tense

           คือ Tense  ที่ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและต่อเนื่องอยู่ระยะหนึ่ง แต่ได้สิ้นสุดลงแล้ว
เหตุการณ์ที่ใช้กับ Past Perfect Tense

            1. เมื่อพูดถึงกิจกรรมสองอย่างในประโยคเดียวกัน  โดยใช้ Past Perfect Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและสิ้นสุดลงแล้ว และใช้ Simple Past Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หลัง
เช่น
         After I had brushed my teeth,I took a shower.
(ประโยคที่เป็น Past Perfect Tense มักใช้คำ after,before,when เพื่อระบุว่าเหตุการณ์ในสองเหตุการณ์นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว)


         2. เมื่อเป็น " Indirect Speech" หรือ "Repoted Speech"  คือพูดทวนประโยคที่ผู้พูดไปแล้ว โดยมีหลักว่า ประโยคที่เป็น Present Perfect Tense หรือ Simple Past  Tense เมื่อเป็น Indirect Speech หรือReport Speech จะต้องเปลี่ยนเป็น tense ให้เป็น"Past Perfect Tense" เสมอ

เช่น
      John  :  I have lost my bag.
      Tony :  Alice, what did John say.
       Alice : He said he had lost his bag.

Future Simple Tense & "Going to" From

            คือ Tense ที่ใช้เมื่อต้องการพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคตเราสามารถใช้ Future Simple Tense 
ได้ 2 แบบ คือ
          1. ใช้ Will หรือ Shall + กริยาช่องที่  1  ที่อยู่ในรูปพหูพจน์
เช่น
         I shall go to library again tomorrow.
         They will finish their assignments next month.
(หลักการใช้ will และ shall  คือจะใช้ "will" กับประธานทุกแบบทั้งเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ และใช้ "shall" เมื่อประธานเป็นสรรพนาม "I"และ "We")

         2. ใช้ verb to be + going to + กริยาช่องที่ 1 ที่อยู่ในรูปพหูจน์
เช่น
        Jack is going to buy a new car.
        Our neighbor are going to move into a new house.

ข้อแตกต่างระหว่างแบบ "will" "shall" และแบบ going to คือแบบ going to มักจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้ โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี
                             กรณีที่1 คือได้วางแผนไว้แล้วว่าจะทำอะไรบางอย่างแน่นอน
                  เช่น   
                             Tom has bought a new suit. (ํTom ได้ซื้อสูทรมาใหม่)
                             He is going to wear in to a party. (Tom จะใส่สูทรไปงานปาร์ตี้)
(เหตุการณ์อนาคตที่วางแผนไว้แล้วเช่นนี้ จะไม่ใช้ "will" "shall" แต่จะใช้ "going to"แทน)
                             กรณีที่ 2 คาดเดาว่าเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
                  เช่น
                            Milk : It is going to rian.
(ในกรณีนี้ Milk เห็นว่าฝนกำลังจะตก)




--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง :  จุลนรี อัชชะนียะสกุล.  (2547).  ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสำหรับการสนทนา.  พิมพ์ครั้งที่ 4.  ปทุมธานี บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด.


รูปภาพ :

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น